วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2550

อเมริกันพิตบูลล์เทอร์เรียร์ (American Pit Bull Terrier)


ความสูงเฉลี่ย : 18-22 นิ้ว


น้ำหนักเฉลี่ย : 30-70 ปอนด์


อายุขัยเฉลี่ย : 11-13 ปี


กลุ่มสายพันธุ์ : เทอร์เรียร์


อุปนิสัย : หากฝึกให้ดีจะเป็นสุนัขที่สามารถเป็นเพื่อนได้ดี แต่ต้องเริ่มฝึกตั้งแต่ยังเล็กอยู่ แต่ก็อาจดื้อรั้นและก้าวร้าวได้เหมือนกัน จะต้องให้มีความคุ้นเคยกับคนทุกหมู่เหล่าและกับสัตว์ทุกประเภท ก็จะฝึกนิสัยได้เป็นอย่างดี


ลักษณะเฉพาะ : เป็นสุนัขขนสั้นแต่หนามาก มีทุกสีและทุกสีแซม รวมทั้นสีน้ำตาลขาว แซมด้วยสีดำและสีแดง


การแปรงขนและการออกำลัง : แปรงขนให้สัปดาห์ละหนก็พอ และต้องพาเดินออกกำลังไกลหน่อยกับต้องปล่อยให้วิ่งเล่นตามลำพังในที่ปลอดภัยทุกวันด้ย


กำเนิด : เป็นการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างพันธุ์สแตฟฟอร์ดเชียร์บุลล์เทอร์เรียร์กับพันธุ์บุลล์ด็อกสำหรับใช้กัดกันซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว ผสมพันธุ์ไว้ในคริสต์ศวรรษที่ 19 ไว้เพื่อกัดกัน


อเมริกันฟอกซ์ฮาวนด์ (American Foxhound)


ความสูงเฉลี่ย : 21-25 นิ้ว


น้ำหนักเฉลี่ย : 65-70 ปอนด์


อายุขัยเฉลี่ย : 12-13 ปี


กลุ่มสายพันธุ์ : เซ้นท์ฮาวนด์


อุปนิสัย : เป็นสุนัขที่ใคร่จะแนะนำให้เลี้ยงเฉพาะคนที่ชอบออกกำลังนอกบ้านจะได้พาไปออกกำลังด้วย มันไม่ชอบอยู่แต่ข้างในบ้าน แต่ชอบคนในครอบครัว คือ จะเข้าได้กับทั้งผู้ใหญ่และเด็กกับสามารถเข้ากับสุนัขอื่นได้ดีแต่อาจจะวิ่งไล่แมวที่ไม่คุ้นเคยกันมาก่อนได้


ลักษณะเฉพาะ : เป็นสุนัขขนแข็งความยาวปานกลาง สามารถมีได้ทุกสี แต่ที่เห็นดาษดื่นคือสีน้ำตาลและขาว สีทองและขาว กับสีดำและขาว


กำเนิด : เป็นสุนัขที่สืบสายพันธุ์มาจากอิงลิชฟอกซ์ฮาวนด์ในคริสต์ศตวรรษที่ 18


ข้อแนะนำพิเศษ : ไม่เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์จะนำมาเลี้ยง จะมีปัญหาตามมา เช่น เห่า หอน เป็นที่รำคาญของผู้อื่นได้

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550

อเมริกันเอสกิโมด็อก (American Eskimo Dog )




ความสูงเฉลี่ย :
-ทอย 9-12 นิ้ว
-มีนิอะเชอร์ 12-15 นิ้ว
-สแตนดาร์ด 15-19 นิ้ว
น้ำหนักเฉลี่ย :
ทอย 6-10 ปอนด์
-มีนิอะเชอร์ 10-20 ปอนด์
-สแตนดาร์ด 13-15 ปอนด์

อายุขัยเฉลี่ย : 13-15 ปี

กลุ่มสายพันธุ์ : นอร์ทเทิร์น

อุปนิสัย : รักสมาชิกทุกคนในครอบครัว แต่ไม่ชอบคนแปลกหน้า ชอบผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก แต่กับเด็กก็พออยู่ด้วยกันได้ เข้ากันได้กับสุนัขอื่นและสัตว์อื่นแต่ต้องฝึกให้ชินกับผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นสุนัขฝึกง่ายและชอบที่จะเรียนรู้กลยุทธ์หรือลูกเล่นต่าง ๆ อยู่เสมอะ




ลักษณะเฉพาะ : สุนัขพันธุ์นี้มี 3 ชนิด คือ ทอย มีนิอะเชอร์ และสแตนดาร์ด ชนมี 2 ชั้น ขนชั้นนอกความยาวปานกลางแต่หนา ส่วนขนชั้นในปุกปุยและอ่อนนุ่ม สีคนขาวบริสุทธิ์ หรืออาจขาวปนสีน้ำตาล




การแปรงขนและการออกกำลัง : ขนจะร่วงมาก จะต้องคอยแปรงให้ทุกสัปดาห์และต้องพาออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะต้องพาเดินเล่นกับให้วิ่งเล่นตามลำพังทุกวัน


กำเนิด : อาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเอสกิโมเลยก็ได้ มีกำเนิดมาในช่วง 500-100 ปีมานี้เอง มีลักษณะทางกายภาพและทางพฤติกรรมเหมือนสุนัขพันธุ์นอร์ดิกหรือพันธุ์สปิตซ์ของยุโรป อาจผสมกันระหว่างพันธุ์พอเมอเรเนียนกับพันธุ์กีสฮอนด็ก็ได้

อเมริกันค็อกเกอร์สเปเนียล (American Cocker Spaniel)


ความสูงเฉลี่ย : 14-15 นิ้ว


น้ำหนักเฉลี่ย : 24-28 นิ้ว


อายุขัยเฉลี่ย : 12-15 ปี


กลุ่มสายพันธุ์ : สปอร์ตติ้งด็อก


อุปนิสัย : สุนัขพันธุ์นี้มี 2 แบบ คือ แบบหนึ่งรักเด็กและเป็นมิตร สุภาพ ขี้เล่น ฝึกง่าย กับอีกแบบหนึ่ง ก้าวร้าว ชอบกัดคน ไม่ชอบเด็กและฝึกยาก หากจะเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้จริง ๆ จะต้องเริ่มฝึกให้เชื่อฟังคำสั่ง ให้คุ้นเคยกับเด็ก ผู้ใหญ่และสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ อยู่ เป็นสุนัขสามารถอยู่ในเมือง อยู่ชานเมือง หรืออยู่ในชนบทได้ทั้งนั้น


ลักษณะเฉพาะ : มีขนเป็นมันวาว อาจขนเรียบหรือหยิกหยองเล็กน้อย ส่วนสีขนอาจเป็นสีดำ สีเดียวโดด ๆ สีอื่น สีดำและสีน้ำตาล หรือหลายสี ที่หู หน้าอก ท้อง และขา จะมีขนปุกปุยมาก ส่วนที่หูขนเป็นพู่ยาวมาก


การแปรงขนและการออกกำลัง : ควรแปรงขนให้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และตัดแต่งขนให้ทุก 2-3 เดือนด้วย กับต้องคอยทำความสะอาดหูให้ทุกสัปดาห์และคอยเช็ดใบหูให้ทุกวัน ในการออกกำลังนั้นก็จะต้องพาเดินออกกำลังและให้วิ่งเล่นตามลำพังทุกวันด้วย


กำเนิด : สืบสายพันธุจากอิงลิชค็อกเกอร์สเปเนียลที่เคยถูกใช้ให้วิ่งไล่ตัววู๊ดค็อกออกจากที่ซ่อน ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19


คำแนะนำพิเศษ : ควรหาสุนัขพันธุ์นี้มาเลี้ยงจากสถานเพาะเลี้ยงที่มีชื่อเสียงเท่านั้น ไม่ควรซื้อหาจากร้านขายสัตว์เพราะจะมีปัญหาในภายหลังได้

อเมริกันบุลล์ด็อก (American Bulldog)


ความสูงเฉลี่ย : 21-27 นิ้ว


น้ำหนักเฉลี่ย : 60-120 ปอนด์


อายุขัยเฉลี่ย : 11-12 ปี


กลุ่มสายพันธุ์ : การ์เดี้ยนด็อก


อุปนิสัย : ตื่นตัวอยู่เสมอ ชอบออกนอกบ้าน เป็นมิตรกับสมาชิกทุกคนในครอบครัว และคนอื่นที่สมาชิกครอบครัวรับเข้ามา แต่ไม่ชอบคนแปลกหน้าและอาจก้าวร้าวกับสุนัขอื่นได้ เข้ากันได้กับเด็กและสัตว์อื่นรวมทั้งแมวแต่ทั้งนี้ต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาตั้งแต่แรก ควรฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งตั่งแต่อายุยังน้อย ๆ เพราะหากฝึกตอนโตแล้วจะดื้อรั้นได้


ลักษณะเฉพาะ : มีขนสั้นและหยาบ สีขนเป็นสีขาว ขาวปนน้ำตาลหรือปนแดงหรือเป็นสีแดงปนขาว

การแปรงขนและการออกกำลัง : ต้องแปรงขนให้ทุกสัปดาห์ ด้วยเหตุที่มีภูมิหลังเคยถูกใช้ให้เป็นสุนัขใช้งาน ดังนั้นก็จะต้องพาเดินออกกำลังทุกวัน


กำเนิด : มาจากสายพันธุ์อิงลิชบุลล์ด็อก


คำแนะนำพิเศษ : คนที่มีประสบการณืเท่านั้นจึงควรเลี้ยง และไม่เหมาะที่นำมาเลี้ยงในเมืองและตามอพาร์ทเมนท์ที่มีพื้นที่คับแคบ เว้นแต่จะผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดีแล้วและให้ออกกำลังอย่างเพียงพอ

Rama IX

Historique dynastique
Fondée en
1782, la dynastie Chakri prit la succession des rois d'Ayutthaya défaits par les Birmans. Ce changement dynastique fut aussi l'occasion de la fondation de Bangkok comme capitale du royaume. Les rois Chakri prirent le nom dynastique de « Rama », neuf rois se sont succédé sur le trône depuis 1782. En 1932, la monarchie absolue devint constitutionnelle sur le modèle britannique.

Biographie
Sa Majesté le roi Bhumibol Adulyadej est née le
5 décembre 1927 à Cambridge, Massachusetts (USA).
En 1933, il suit sa mère à Lausanne (Suisse) avec son frère, le prince
Ananda Mahidol et sa sœur aînée, la princesse Kalyani Wathana. Le prince Bhumibol effectue ses études en Suisse, montrant une grande aptitude pour la musique et le dessin.
En 1935, son frère, le prince Ananda, alors âgé de 10 ans, fut appelé sur le trône mais ne rejoignit la Thaïlande qu'à la fin de la
Seconde Guerre mondiale. Il ne régna effectivement que quelques mois sous le nom de Rama VIII et disparut dans des circonstances tragiques, assassiné dans le palais royal.
Le Prince Bhumibol lui succéda le 9 juin
1946. Après une période de régence pendant laquelle il termina ses études, il revint en Thaïlande en 1950 pour se marier avec la Princesse Sirikit Kitiyakorn et pour être couronné.
En juin 2006, le roi Bhumibol Adulyadej, agé de 78 ans, fête le soixantième anniversaire de son accession au trône, il est le plus ancien chef d'état en exercice dans le monde. De grandes fêtes se déroulent à
Bangkok, de nombreuses têtes couronnées et chefs d'État sont présents et trois jours feriés ont été décrétés à cette occasion. Lors de la même année, il est demandé aux Thaïs de porter des maillots jaunes en l'honneur du roi tous les lundi et mardi.
Le roi Bhumibol jouit d'une immense estime de la population thaïlandaise, la longueur de son règne, son constant intérêt pour le développement des zones défavorisées du royaume, son action conciliatrice et sage lors des nombreux
coups d'État militaires qu'il a eu à traverser, expliquent cette dévotion qui le place parmi les plus vénérés des souverains en compagnie de son aïeul, le roi Chulalongkorn Rama V.

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550

อลาสกันมาลามิวท์ (Alaskan Malamute)


ความสูงเฉลี่ย : 23-25 นิ้ว


น้ำหนักเฉลี่ย : 75-85 ปอนด์


อายุขัยเฉลี่ย : 10-12 ปี


กลุ่มสายพันธุ์ : นอร์ทเทิร์น


อุปนิสัย : ภักพีต่อสมาชิกในครอบครัว รักเด็กในครอบครัวตนเอง และเข้ากันได้กับสัตว์อื่นแต่ต้องมีความสัพันธ์กันมาตั้งแต่ต้น ต้องให้เข้าฝึกในสถานฝึกสุนัขที่ผู้ฝึกมีประสบการณ์หากปล่อยไว้ไม่ฝึกไว้ก่อนจะหอนเมื่ออยู่ตามลำพัง


ลักษณะเฉพาะ : ขนชั้นนอกจะยาวและหนามาก ส่วนขนชั้นในก็หนาชุ่มด้วยน้ำมันและอ่อนนุ่ม อาจหนามากถึง 2 นิ้ว สีขนอาจเป็นสีเทาอ่อนและขาว สีดำและขาว หรือสีขาวปลอด


การแปลงขนและการออกำลัง : ควรแปรงขนให้ทุกสัปดาห์หรือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ขนชั้นในจะผลัดปีละ 2 ครั้ง ซึ่งในช่วงผลัดขนนี้ก็จะต้องแปรงขนให้ทุกวัน ต้องคอยกระตุ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ มิฉะนั้นจะก่อความเสียหายเมื่ออยู่ในบ้านและออกไปนอกบ้านได้ การพาออกกำลังทุกวันคือกิจกรรที่ดีที่สุดที่จะช่วยแก้พฤติการรที่ไม่ดีของมันได้


กำเนิด : สุนัขพันธุ์นี้ถูกพวกไอนุอิตที่มีชีวิตในช่วง 1000 ปีที่ผ่านมาใช้ให้ทำหน้าที่ลากเลื่อนหรือให้ทองเที่ยวไปในที่ไกล ๆ ในดินแดนที่มีหิมะปกคลุมและมีอุณหภูมิติดลบ


คำแนะนำพิเศษ : ไม่ควรให้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้และก้ไม่ควรเลี้งตามห้องชุดที่มีพื้นที่คับแคบด้วย

Akita(อากีตะ)


ความสูงเฉลี่ย : 24-28 นิ้ว


น้ำหนักเฉลี่ย : 75-110 ปอนด์


อายุขัยเฉลี่ย : 10-12 ปี


กลุ่มสายพันธุ์ : นอร์ทเทิร์น


อุปนิสัย : มีความเป็นมิตรกับสมาชิกในครอบครัว แต่ขี้ระแวงคนแปลกหน้า การฝึกให้เชื่อฟังเป็นสิ่งที่ต้องทำแต่เนิ่น ๆ และจะต้องให้ใกล้ชิดกับผู้คนตั้งแต่อายุยังน้อยจึงจะดี บางตัวเข้ากับเด็กได้ดีแต่ต้องเคยใกล้ชิดกันมาตั้งแต่แรกเกิด แต่ทว่าบางตัวก็เข้ากับเด็กไม่ได้เสียเลย ส่วนใหญ่แล้วจะเห่าเมื่อถูกคุกคาม


ลักษณะ : มีได้ทุกสี อาจเป็นสีเดียวโดด ๆ หรือมีสีแซมสองสีหรือมากกว่า เช่น สีดำและสีน้ำตาล เป็นต้น มีขนสองชั้น โดยขนชั้นนอกยาวปานกลางแต่แข็ง ส่วนขนชั้นในอ่อนนุ่มและปุกปุยมาก ส่วนจมูกก็ใหญ่และแข็งแรงลักษณะคล้าย ๆ หมี สำหรับหางนั้นมีลักษณะม้วนขึ้นข้างบนหลัง


การแปรงขนและการออกกำลัง : ขนจะดูแลง่าย แปรงให้แค่สัปดาห์ละครั้งก็พอ ส่วนการออกกำลังกายนั้นก็ต้องพาเดินออกกำลังแต่พอประมาณไม่ต้องให้มากนัก โดยอาจพาเดินเล่นช่วงเวลาสั้น ๆ และอาจปล่อยให้วิ่งเล่นตามลำพังบ้างแต่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน


กำเนิด : สืบสายพันธุ์มาจากสุนัขที่ละม้ายสปิตช์ด็อกชนิดหนึ่งที่มีชีวิตอยู่เมื่อราว 5,000 ปีมาแล้ว ที่มีชื่อว่า อะกีตะนี้เป็นการตั้งตามชื่อจังหวัดอะกีตะบนเกาะฮอนชูของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่นั่นพวกขุนนางในสมัยนั้นใช้มันให้ล่าสัตว์ตัวโต ๆ


ข้อแนะนำพิเศษ : อากีตะไม่เหมาะสำหรับเจ้าของที่ขาดประสบการณ์ในการเลี้ยงสุนัข โดยเฉพาะมันจะก้าวร้าวกับสุนัขอื่น ต้องคอยระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษเมื่อพาเดินออกนอกบ้าน

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550

Grées


Dans la mythologie grecque, les Grées (en grec ancien Γραῖαι / Graĩai, « Vieilles femmes ») sont trois sœurs, Dino (ou Deino ou Persis), Ényo et Péphrédo (ou Porphrédo ou Pemphrédo), filles aînées de Phorcys et de Céto. Elles sont aussi appelées Graies ou Sœurs Grises.
Leur nom leur fut donné car elles étaient nées déjà ridées et avec des cheveux blancs. Elles n'avaient en outre qu'une dent et un œil pour elles trois, qu'elles se partageaient à tour de rôle : tandis que l'une veillait et pouvait se restaurer, les deux autres dormaient. Elles vivaient dans une grotte située très loin vers le couchant, dans un endroit où il faisait presque toujours nuit.
Elles n'apparaissent que dans une seule légende, celle de
Persée : le héros voulant savoir d'elles la résidence de leurs sœurs, les Gorgones, leur déroba leur œil et ne leur rendit que lorsqu'elles lui eurent répondu.

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550

Méduse

Mythe
Fille de Phorcys et de Céto, et donc sœur des Grées[2], elle est une belle jeune fille dont Poséidon s'éprend[3] . Séduite ou violée par le dieu dans un temple dédié à Athéna, elle est punie par la déesse qui la transforme en Gorgone. Ses cheveux deviennent des serpents et désormais son regard pétrifie tous ceux qui le croisent[4]. (Selon certaines versions, c'est Aphrodite qui, jalouse de sa chevelure et de sa beauté, change ses cheveux en serpents.)
Elle est décapitée par le héros
Persée, aidé, selon des sources plus tardives, par Hermès et Athéna[5]. De son sang jaillissent ses deux fils, Chrysaor, père de Géryon, et le cheval ailé Pégase[6], sur lequel Persée s'enfuit, poursuivi par les autres Gorgones[7]. Après l'avoir utilisée pour pétrifier Atlas, délivrer Andromède et tuer Polydecte qui retenait sa mère prisonnière, Persée offre à Athéna la tête de Méduse, que la déesse fixe sur son bouclier, l'égide[8].
Pausanias[9] livre une version historicisante du myhe. Pour lui, Méduse est une reine qui, après la mort de son père, a repris elle-même le sceptre, gouvernant ses sujets, près du lac Tritonide, en Libye. Elle a été tuée pendant la nuit au cours d'une campagne contre Persée, un prince péloponnésien.

Iconographie

Les premières représentations du mythe de Méduse apparaissent sur deux pithoi béotiens à relief (Louvre CA 795 et CA 937) et sur une amphore à col protoattique (musée d'Éleusis), tous trois remontant au second quart du VIIe siècle av. J.-C.[10] Sur les premiers, Méduse apparaît comme un centaure femelle, sur le point d'être décapitée par Persée, qui détourne la tête pour éviter d'être pétrifié. Sur l'amphore d'Éleusis, Méduse gît, décapitée, parmi les fleurs ; ses sœurs, à forme humaine mais aux visages monstrueux, veulent poursuivre Persée, mais sont arrêtées par Athéna qui s'interpose.
À la fin du V
IIe siècle, la représentation du masque de Méduse (ou gorgoneion) évolue sous le pinceau des peintres de Corinthe, sans doute sous l'influence des têtes de lion apotropaïques (destinées à conjurer le mauvais sort)
[11] : elle a le visage rond, avec de gros yeux proéminents, un nez épaté et une barbe ; elle tire souvent la langue. L'exemple le plus connu est une assiette attique de Lydos conservée au Staatliche Antikensammlungen de Munich (Inv. 8760). Le gorgonéion est souvent représenté sur les boucliers dans la peinture vasculaire attique : au départ, il peut orner le bouclier de n'importe quel guerrier ; à partir du milieu du Ve siècle av. J.-C., il se rencontre le plus souvent, sur les vases comme en sculpture, comme ornement de l'égide d'Athéna. Parallèlement, la tête de Méduse perd son aspect terrifiant : elle est désormais celle d'une belle jeune femme, seuls les serpents de la chevelure rappelant sa nature monstrueuse.
Parmi les représentations modernes, les plus connues sont le bouclier d'apparat peint par
le Caravage, conservé à la galerie des Offices, ou encore le buste du Bernin conservé aux musées du Capitole.

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2550

Le chat et l'homme

Histoire

Jusqu’en
2001, on pensait que les chats avaient été domestiqués par les Égyptiens pendant l’Antiquité, mais la découverte des restes d’un chat aux côtés de ceux d’un humain dans une sépulture à Chypre repousse le début de cette relation au VIIe millénaire av. J.-C. La cohabitation des chats et des hommes est probablement arrivée avec le début de l’agriculture : le stockage du grain a attiré les souris et les rats, qui ont attiré les chats, leurs prédateurs naturels.
Les Égyptiens de l’
Antiquité divinisèrent le chat sous les traits de la déesse protectrice Bastet, symbole de la fécondité et de l'amour maternel, dont le culte se situait principalement dans la ville de Bubastis. Les archéologues ont découvert de très nombreuses momies de chats qui montrent à quel point les Égyptiens les vénéraient ; on peut voir ces momies, entre autres, à Paris (musée du Louvre), à Londres (British Museum) ou au Caire (Musée égyptien du Caire). Toutefois, il semblerait que cette civilisation ait également pratiqué le sacrifice rituel du chat (voir : le chat dans l’Égypte antique).

En guise d'animaux de compagnie, la Grèce antique ne connaît longtemps que les mustélidés, furet et belette. Plus tard, le chat sera importé d’Égypte et s’arrogera une place auprès des Grecs, d’abord sous le nom de ailouros (« qui remue la queue »), puis à partir du IIe siècle av. J.-C., katoikidios (« domestique »).
Les
Romains, en revanche, vouaient une passion au chat : d’abord réservé aux classes aisées, l’usage de posséder un chat se répandit dans tout l’Empire et dans toutes les couches de la population, assurant la dispersion de l’animal dans toute l’Europe.
En principe, l'image du chat est positive dans l'
islam en raison de l'affection qu'éprouvait Mahomet envers cet animal. Plusieurs hadiths décrivent les attentions qu'il témoignait à son chat, nommé "Muaizza".
À l'inverse, le chat fut satanisé dans l'
Europe chrétienne durant la majeure partie du Moyen Âge et de la Renaissance. Persécuté, torturé, massacré, il faillit disparaître d'Europe au XIVe siècle, ce qui eut un résultat logique : ne trouvant plus leur prédateur naturel pour les combattre, les rats se mirent à proliférer et causèrent la Grande Peste de 1346-1352, qui tua 25 millions de personnes, soit le tiers de la population occidentale à l'époque.

La déesse nordique Freyja dans son char tiré par ses chats, Nils Blommér 1852.
Dans la
symbolique médiévale, le chat était associé à la malchance et au mal, d’autant plus quand il était noir, ainsi qu'à la sournoiserie et à la féminité. C’était l’animal du diable et des sorcières. On lui attribuait des pouvoirs surnaturels, dont la faculté de posséder neuf vies. L'origine de cette méfiance réside dans le fait que le chat est un prédateur crépusculaire d'une souplesse toute féline, qui peut surprendre par sa vivacité.

Une première tentative de réhabilitation fut la célèbre Histoire des Chats : dissertation sur la prééminence des chats dans la société, sur les autres animaux d’Égypte, sur les distinctions et privilèges dont ils ont joui personnellement (1727) de François-Augustin de Paradis de Moncrif. L’auteur y prend la défense du chat à travers des références historiques, notamment à l’ancienne Égypte, qui se veulent érudites et constituent en réalité un pastiche de la pédanterie. Un certain nombre de lecteurs et de critiques ne discernèrent pas l’intention satirique et l’ouvrage, obscur et maniéré, fut très violemment attaqué.
Malgré de nobles exceptions comme les chartreux de
Richelieu ou le persan de Louis XV, le chat ne connut son véritable retour en grâce qu'à la faveur du romantisme : il devint l'animal romantique par excellence, mystérieux et indépendant. Toujours au XIXe siècle, il se retrouva également symbole du mouvement anarchiste, à travers son image poétique, autonome et gracieuse. Le XXe siècle, quant à lui, a gardé cette vision romantique tout en s'intéressant au chat d'une manière plus scientifique.

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2550

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2550

อลาสกันมาลามิวท์ (Alaskan Malamute)


ความสูงเฉลี่ย : 23-25 นิ้ว


น้ำหนักเฉลี่ย : 75-85 ปอนด์


อายุขัยเฉลี่ย : 10-12 ปี


กลุ่มสายพันธุ์ : นอร์ทเทิร์น


อุปนิสัย : ภักดีต่อสมาชิกในครอบครัว รักเด็กในครอบครัวตนเอง และเข้ากันได้กับสัตว์อื่นแต่ต้องมีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่ต้น ต้องให้เข้าฝึกในสถานฝึกสุนัขที่ผู้มีประสบการณ์หากปล่อยไว้ไม่ฝึกก่อนจะหอนเมื่ออยู่ตามลำพัง


ลักษณะเฉพาะ : ขนชั้นนอกจะยาวและหนามาก ส่วนขนชั้นในก็หนาชุ่มด้วยน้ำมันและอ่อนนุ่ม อาจหนามากถึง 2 นิ้ว สีขนอาจเป็นสีเทาอ่อนและขาว สีดำและขาว หรือสีขาวปลอด


การแปรงขนและการออกกำลัง : การแปรงขนให้ทุกสัปดาห์หรือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ขนชั้นในจะผลัดปีละ 2 ครั้ง ซึ่งในช่วงผลัดขนนี้ก็จะต้องแปรงขนให้ทุกวัน ต้องคอยกระตุ้นทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ มิฉะนั้นจะก่อความเสียหายเมื่ออยู่ในบ้านและออกไปนอกบ้านได้ การพาออกกำลังทุกวันคือกิจกรรมที่ดีที่สุดที่จะช่วยแก้พฤติกรรมที่ไม่ดีของมันได้


กำเนิด : สุนัขพันธุ์นี้ถูกพวกไอนุอิตที่มีชีวตในช่วง 1000 ปีที่ผ่านมาใช้ให้ทำหน้าที่ลากเลื่อนหรือให้ท่องเที่ยวใปในที่ไกล ๆ ในดินแดนที่มีหิมะปกคลุมและมีอุณหภูมิติดลบ


คำแนะนำพิเศษ : ไม่ควรให้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ และก็ไม่ควรเลี้ยงตามห้องชุดที่มีพื้นที่คับแคบด้วย

อากีตะ (Akita)


ควาสูงเฉลี่ย : 24-28 นิ้ว


น้ำหนักเฉลี่ย : 75-110 ปอนด์


อายุขัยเฉลี่ย : 10-12 ปี


กลุ่มสายพันธ์ : นอร์ทเทิร์น


อุปนิสัย : มีความเป็นมิตรกับสมาชิกในครอบครัว แต่ขี้ระแวงคนแปลกหน้า การฝึกให้เชื่อฟังเป็นสิ่งที่ต้องทำแต่เนิ่น ๆ และจะต้องให้ใกล้ชิดกับผู้คนตั้งแต่อายุยังน้อยจึงจะดี บางตัวเข้ากับเด้กได้ดีแต่ต้องเคยใกล้ชิดกันมาตั้งแต่แรกเกิ แต่ทว่าบางตัวก็เข้ากับเด็กไม่ได้เสียเลย ส่วนใหญ่แล้วจะเห่าเมื่อถูกคุกคาม


ลักษณะเฉพาะ : มีได้ทุกสี อาจเป็นสีเดียวโดด ๆ หรือมีสีแซมสองสีหรือมากกว่า เช่น สีดำและสีน้ำตาล เป็นต้น มีขนสองชั้น โดยขนชั้นนอกยาวปานกลางแต่แข็ง ส่วนขนชั้นในอ่อนนุ่มและปุกปุยมาก ส่วนจมูกก็ใหญ่และแข็งแรงลักษณะคล้าย ๆ หมี สำหรับหางนั้นมีลักษณะม้วนขึ้นข้างบนหลัง


การแปรงขนและการออกกำลังกาย : ขนจะดูแลง่าย แปรงให้แค่สัปดาห์ละครั้งก็พอ ส่วนการออกกำลังกายนั้นก็ต้องพาเดินออกกำลังแต่พอประมาณไม่ต้องให้มากนัก โดยอาจพาเดินเล่นช่วงเวลาสั้น ๆ และอาจปล่อยให้วิ่งเล่นตามลำพังบ้างแต่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน


กำเนิด : สืบสายพันธุ์มาจากสุนัที่ละม้ายสปิตซ์ด็อกชนิดหนึ่งที่มีชีวิตอยู่เมื่อราว 5000 ปีมาแล้ว ที่มีชื่อว่า อะกีตะนี้เป็นการตั้งตามชื่อจังหวัดอะกีตะบนเกาะฮอนชูของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่นั้นพวกขุนนางในสมัยนั้นใช้มันล่าสัตว์ตัวโต ๆ


ข้อแนะนำพิเศษ : อะกีตะไม่เหมาะสำหรับเจ้าของที่ขาดประสบการณ์ในการเลี้ยงสุนัข โดยเฉาพะมันจะก้าวร้าวกับสุนัขอื่น ต้องคอยระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษเมื่อพาเดินออกนอกบ้าน

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550

Airedale Terrier (แอร์เดลเทอร์เรียร์)




ความสูงเฉลี่ย : 22-23 นิ้ว



น้ำหนักเฉลี่ย : 45-50 ปอนด์



อายุขัยเฉลี่ย : 12-14 ปี



กลุ่มสายพันธุ์ : เทอร์เรียร์



อุปนิสัย : ขี้เล่น กล้าหาญ เข้ากับเด็กได้ดี แต่ก็อาจดื้อรั้นเอากับเจ้าของบ้าง นอกนั้นก็อาจก้าวร้าวกับสุนัขตัวอื่นได้ ต้องได้รับการฝึกและให้สมาคมกับสัตว์อื่น ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ใช้เป็นสุนัขเฝ้าบ้านก็จะทำหน้าที่ดีเยี่ยม พอเห็นคนแปลกหน้าก็จะเห่าเอาไว้ก่อน แต่พอเจ้าของปรามมันก็จะเชื่อและหันมาเป็นมิตรกับคนแปลกหน้านั้น



ลักษณะเฉพาะ : มีขนสองชั้น ขนชั้นนอกแข็งกระด้าง ส่วนขนชั้นในอ่อนนุ่ม สีขนอาจเป็นสีน้ำตาลและดำ หรือสีน้ำตาลและเทาแก่ ขนที่บริเวณศีรษะ หู และที่หนวดเครามักเป็นสีนำตาล



การแปรงขนและการออกกำลังกาย : ไม่จำเป็นต้องแปรงขนมากก็ได้ สำหรับที่จะใช้ประกวดเขาจะใช้วิธีเอามือลูบขนที่หลุดออกจากตัวเท่านั้นก็พอ แต่ต้องขนตัดแต่งขนบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนในเรื่องออกกำลังกายนั้น ก็ต้องพาออกเดินเล่นทุกวัน และปล่อยให้วิ่งเล่นเองบ้าง ก็จะช่วยให้มันร่าเริงยิ่งขึ้น



กำเนิด : กำเนิดตามลุ่มแม่น้ำแอร์ในยอร์กเชียร์ประเทศอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยการผสมพันธุ์ระหว่างสุนัขพันธุ์แบล็กแอนด์แทนเทอร์เรียร์กับสุนัขอ็อตเตอร์ฮาวนด์ ผลของการผสมพันธุ์ดังกล่าวทำให้เกิดสุนัขมีลักษณะพิเศษ คือ ไม่กลัวสิ่งใด มีความอดทนและชอบน้ำเย็นเป็นน้ำแข็ง

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2550

Afghan Hound (อัฟกันฮาวนด์)


ความสูงเฉลี่ย : 25-27 นิ้ว


น้ำหนักเฉลี่ย : 50-60 ปอนด์


อายุขัย : 12-14 ปี


กลุ่มสายพันธุ์ : ไซ้ท์ฮาวนด์


อุปนิสัย : เหมือนไซ้ท์ฮาวน์ทั่วไป คือโดยทั่วไปสุภาพเรียบร้อย แต่ไม่ชอบคนแปลกหน้านัก เป็นมิตรกับสัตว์อื่นส่วนใหญ่ แต่ก็อาจวิ่งไล่แมวที่ไม่มักคุ้นกันมาก่อน มีความไวต่อเสียงประหลาดมาก จะต้องให้ทำความคุ้นเคยกับสัตว์ต่าง ๆ เอาไว้ และต้องฝึกให้เชื่อฟังเจ้าของตั้งแต่อายุยังน้อย


ลักษณะเฉพาะ : มีขนยาวรุ่มร่าม มีสีตั้งแต่บลอนด์ทองอ่อนและบลอนด์ทองเข้มไปจนถึงสีดำ ลักษณะขนเป็นมันวาววับ ยกเว้นขนสั้น ๆ ที่อยู่บนหลัง


การแปรงขนและการออกกำลัง : ควรแปรงขนให้ทุกวัน กับควรพาเดินออกกำลังกายทุกวัน และควรมีบริเวณรั้วรอบของชิดพอที่จะปล่อยให้วิ่งเล่นบ้างสัปดาห์ละหลาย ๆ ครั้ง ก็จะช่วยฝึกนิสัยได้เป็นอย่างดี


กำเนิด : สุนัขชั้นสูงสายพันธุ์นี้จะปรากฏตัวบนเวทีประกวดสุนัขเป็นประจำ แต่ที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนก็พอมี มีถิ่นกำเนิดในภูเขาต่าง ๆ ของประเทศอัฟกานิสถาน ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยถูกใช้ให้ล่าสัตว์ใหญ่ที่วิ่งเร็ว ๆ

Affenpinscher (แอฟเฟ็นพินเชอร์)


ความสูง: 9-11.5 นิ้ว
น้ำหนักเฉลี่ย : 7-10 ปอนด์

อายุขัยเฉลี่ย : 14-16ปี

กลุ่มสายพันธุ์ : คอมแพเนียนด็อก

อุปนิสัย :ซื่อสัตย์ต่อสมาชิกครอบครัว เข้ากับเด็กได้แต่ต้องสุภาพไม่ทําอะไรรุนแรง แต่ก็ยากที่จะฝึกสักหน่อย เข้ากับสัตว์อื่นๆ ได้แต่ต้องให้คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็กๆ มีนิสัยมุ่งมั่นไม่กลัวเกรงอะไร ระวังระไวคนแปลกหน้าและบางทีก็จะกัดเอาเสียด้วยซ้ำไป มักจะทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านได้ดี

ลักษณะเฉพาะ : มีขนแข็งสั้นและหนาทึบตามร่างกาย แต่ขนจะยาวรุ่มร่ามที่บริเวณหน้า ที่ขาและที่หน้าอก สีขนจะดำ เทา สีเงิน หรือสองสีคือดำกับน้ำตาล

การแปลงขนและการออกกำลัง : เป็นสุนัขที่ไม่ค่อยจะมากเรื่อง เพียงแต่ต้องพาเดินออกกำลังกายทุกวัน ส่วนขนก้ต้องคอยแปรงให้ทุกสัปดาห์ และคอยตัดแต่งขนให้ 2-3 เดือนต่อครั้งก็ใช้ได้แล้ว

กำเนิด : ไปปรากฏตัวอยู่ในทวีปยุโรบในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยถูกใช้ให้ทำหน้าที่ล่าหนู ไม่ทราบเรื่องถิ่นกำเนิดที่แน่นอน แต่สังเกตที่ชื่อว่า "แอฟเฟ็นพินเชอร์" ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันและเเปลว่า สุนัขลิง บ่งบอกว่ามีสายพันธ์กับประเทศเยอรมนี

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2550

Noisette



Maturation du fruit
Sur le plan botanique, la noisette est un akène doté d’un péricarpe ligneux appelé "écale" et renfermant une seule graine volumineuse. Ce fruit, de forme plus ou moins ovoïde, est protégé avant maturité complète par une enveloppe de forme tubulaire, l’involucre, d’aspect foliacé et divisé en lobes irréguliers.
Les noisettes sont généralement groupées avec leurs involucres en petites grappes de deux ou trois fruits appelées « trochets ». Peu avant la maturité du fruit, l’
involucre s’assèche et s’ouvre à une extrémité, exposant le péricarpe à l’air où il va durcir et se colorer, pendant que la graine se concentre en sucres, en huile et en minéraux. Cette maturation a lieu en automne, et la cueillette (par l’homme, mais aussi très prisée par de nombreux animaux à cause de ses valeurs nutritives) peut avoir lieu entre la fin du mois d’août et en septembre, lorsque les trochets se détachent facilement des branches.
Une fois séchée, l’involucre se détache facilement de la coque dure, qui va conserver l’amande durant des mois.

Consommation
La coque n’est pas consommable, mais l’amande qu’elle contient est délicieusement parfumée, consommée comme fruit sec à l’apéritif ou en dessert. Elle est aussi souvent utilisée rapée en poudre, concassée, ou coupée en copeaux, en pâtisserie et confiserie sous diverses formes. On en extrait également une huile comestible mais sujette au rancissement.
Les noisettes sont très énergétiques, et très recommandées pour les sportifs. La noisette est idéale à combiner avec les amandes, les noix et les raisins secs. Les noisettes ont très bonne réputation pour les minéraux, oligo-éléments et son huile végétale.
On les ouvre à l’aide de
casse-noisettes.
Il est notable que la grande majorité de la production mondiale soit achetée par la seule société
Ferrero, afin de répondre à la demande de Nutella. De ce fait, la majeure partie des noisettes est consommée en association avec du cacao sous forme de pâte à tartiner.

Cerise


Histoire
Les populations européennes connaissaient et consommaient depuis au moins le IVe millénaire av. J.-C., une variété de cerise autochtone, celle du merisier sauvage. La sélection permettant peu à peu de sélectionner ceux aux fruits les plus gros et les plus sucrés, les plus précoces ou les plus succulents.
Le grand gastronome
romain Lucullus est le premier à en avoir parlé. Selon la légende il aurait rapporté la « perle rouge » à Rome au retour de sa campagne contre le roi du Pont Mithridate VI (vers 70 av. J.-C.). Considérant que certaines variétés de cerise moderne sont originaires d'Asie mineure, cela peut être vraisemblable. Par ailleurs, le nom italien de la cerise, ciliegia rappelle effectivement le nom de la région de Cilicie, en Asie mineure. Cependant le cerisier était déjà connu des Grecs qui le nommaient kerasion, d'après la ville aujourd'hui appelée Giresun ou Cerasonte.
En
turc on désigne la cerise par le mot "kiraz" qui vient du nom antique de la ville "kerasous". En français cerise, en anglais cherry, en espagnol cereza viennent également de ce nom antique de la ville.
Jules Verne, dans un ouvrage peu connu "Kéraban-le-Têtu", fait passer ses héros le long de la mer Noire en direction d'Istanbul, ils traversent une ville nommée Kérésoum où « le cerisier abonde ». Il mentionne que le bois de ces arbres est aussi utilisé pour faire des pipes.
En
France, il fut cultivé pour le commerce dès le haut moyen-âge, ses fruits délicats et sucrés étaient appréciés, mais aussi son bois, à la texture et à la finesse délicate. Cependant c'est à Louis XV, qui aimait beaucoup ce fruit, que l'on doit l'optimisation et la culture intensive du cerisier moderne.

Variétés
Il existe de nombreuses variétés de cerises réparties en deux catégories, les douces et les acides. Plus de deux cents variétés de cerises sont vendues sur les marchés en Europe, auxquelles il faut ajouter autant de variétés très locales, génétiquement différenciées au cours du temps, en fonction de l'acidité des sols et des divers essais de greffons.
Parmi les douces, (les cerises proprement dites) on trouve les
bigarreaux qui sont des fruits doux fermes et sucrés, avec une infinité de variétés (burlat, napoléon, cerise de Céret, noire de Méched, Guillaume, Reverchon, summit, hedelfingen...).
Parmi les acides, on trouve les
guignes à la chair molle, les griottes particulièrement acidulées, les merises, et les cerises sauvages, au nombre de trois variétés :
Les
amarelles, essentiellement la cerise de Montmorency
Les griottes, dont la plus connue est la griotte du Nord
La cerise anglaise, peu consommée car très aigre


Datte


La datte est le fruit comestible du palmier-dattier (Phœnix dactylifera, L.). C'est un fruit charnu, oblong, de 4 à 6 cm de long, contenant un noyau allongé, marqué d'un sillon longitudinal. Commercialisée le plus souvent sous forme de datte sèche, c'est un fruit très énergétique.
Le terme « datte » dérive du
grec ancien dáktylos, doigt, en référence à la forme de ce fruit.
Sur le plan
botanique, la datte est une baie, car son péricarpe est entièrement charnu. Le « noyau » de datte, enveloppé dans l'endocarpe membraneux, est en fait une graine très dure, à albumen corné.
Lors de la récolte, elle se présente en régime (issu de l'inflorescence femelle) pouvant regrouper une centaine de rameaux et plusieurs centaines de dattes.
La datte fraîche, telle qu'elle est quand elle arrive à maturité, est un fruit fragile et délicat à transporter. Elle est riche en
vitamine C. La datte sèche est plus fortement déshydratée, elle contient environ 20 % d'eau, contre 70 % pour la datte fraîche. Sa valeur énergétique est de 287 kcal par 100 g. Elle est très riche en sucres (glucose, fructose et saccharose). Elle contient également des vitamines (B2, B3, B5 et B6) et une faible quantité de vitamine C, des sels minéraux (potassium et calcium), ainsi que des fibres.
La variété (le cultivar en fait) la plus répandue sur les marchés européens (en provenance d'Afrique du Nord) est la
deglet nour, déjà favorisée par les administrations coloniales, puis étatiques.

Corossol




Le corossol est le fruit du corossolier, Annona muricata, de la famille des Annonaceae qui pousse en Afrique, en Amérique et en Asie. Il mesure jusqu'à 30 cm de long et peut peser jusqu'à 2.5 kg. Son aspect extérieur est d'un vert sombre du fait de son écorce piquée d'épines et sa chair est blanche et pulpeuse avec des graines noires indigestes.
La chair du corossol est comestible et a un goût à la fois sucré et acidulé - type Malabar-. Cela en fait un fruit exploité dans l'agro-alimentaire pour la confection de glaces.
Alors qu'il est d'un goût bien différent, le corossol est parfois confondu avec la
pomme-cannelle ou paw paw, fruit d'une autre espèce d'annonacée.
Sur le plan
diététique, le corossol est riche en glucides, notamment en fructose et il contient des quantités assez importantes de vitamine C, vitamine B1, et vitamine B2.
Tout comme les feuilles de la plante, la chair et les graines du corossol sont utilisées en
médecine traditionnelle, dans de nombreuses traditions médicales. Les principales indications dans le cadre de médecines populaires sont les troubles du sommeil, les troubles cardiaques, les maladies parasitaires, les ectoparasitoses.
Les graines du corrossol sont également utilisées au Guatémala, dans la région de Livingston, pour l'artisanat local (commerce équitable) dans une tribu indienne au bord du Rio Dulcé (sculpture de tortues, lamantins, toucans et chouettes.


Risque sanitaire
L'équipe du Dr Dominique Caparros-Lefèbvre a montré dans une série d'études initiée en 1999[1] que la consommation de corossol (et de ses feuilles infusées), ainsi que celle d’autres espèces appartenant au même genre botanique était potentiellement la cause d’une forme de parkinsonisme atypique (paralysie supranucléaire progressive, PSP) résistante aux thérapies classiques basées sur un apport de L-DOPA. Ainsi en Guadeloupe, où l'étude initiale a été menée, 77% des patients parkinsoniens présentaient une forme atypique (contre 20% dans la population normale). En faveur de cette hypothèse, les médecins ont observés que la cessation de consommation de corossol entraînait une cessation de la progression des symptômes (voire même une amélioration chez l'un des patients).
Une telle augmentation des formes atypiques de parkinsonisme avait déjà
été observée sur l'île de
Guam où le parkinsonisme était associé à une sclérose latérale amyotrophique. Dans ce dernier cas, des facteurs environnementaux (notamment la forte concentration d'aluminium dans l'eau de consommation, ou encore l'implication de toxines bactériennes via la chaîne alimentaire) avaient été invoqués pour expliquer ce phénomène mais il se pourrait que la consommation de plantes de la famille des Annonaceae dans l'alimentation ou la médecine traditionnelle soit en partie responsable de l'augmentation de la fréquence de parkinsonismes atypiques.
Les composés potentiellement responsables de la dégénérescence neuronale ont été identifiés, et appartiennent à deux classes chimiques très différentes. D’une part, des
alcaloïdes de types benzyl-tétrahydroisoquinoléique et apparentés, de faible puissance en tant qu’inducteurs d’une mort neuronale par apoptose, mais pouvant participer à la symptomatologie chez les patients, ont été identifiés il y longtemps au sein des fruits. Plus récemment, des acétogénines ont été détectées dans le fruit . L’annonacine, représentant majoritaire de cette famille d’inhibiteurs de la respiration mitochondriale au sein de l’espèce, a montré une neurotoxicité importante in vitro et in vivo . Des études complémentaires, notamment épidémiologiques, restent nécessaires avant de conclure de manière formelle à l'implication de ces toxines dans les pathologies guadeloupéennes.